มอสโกใต้ดิน....หลุมหลบภัย GO-42

Last updated: 31 ม.ค. 2560  |  1401 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มอสโกใต้ดิน....หลุมหลบภัย GO-42

มอสโกใต้ดิน....หลุมหลบภัย GO-42

หากพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวในมอสโกก็คงหนีไม่พ้น จัตุรัสแดง พระราชวังเครมลิน โบสถ์หรือสวนต่างๆ ถ้าจะให้ผู้เขียนพูดถึงสถานที่ท่องเที่ยวพวกนี้ส่วนตัวคิดว่าคงไม่น่าสนใจซักเท่าไหร่ เพราะข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่สามารถหาอ่านได้ง่ายและมีอยู่หลากหลายภาษา ความเป็นมาเป็นไปก็คงเป็นที่ประจักษ์กับคนทั่วไปอยู่บ้างแล้ว แต่เรื่องที่กำลังจะพูดถึงนี้ คือ พิพิธภัณฑ์ในเชิงประวัติศาสตร์ที่น้อยคนนักจะพูดถึง เพราะสถานที่แห่งนี้เพิ่งเปิดตัวให้เข้าไปชมกันได้ไม่นานนักและยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักทั้งในหมู่นักท่องเที่ยวไทยหรือแม้แต่ชาวต่างชาติซักเท่าไหร่ สถานที่ที่กำลังพูดถึงก็คือ หลุมหลบภัยในกรุงมอสโก ที่มีชื่อว่า GO-42 (Бункер ГО-42) ซึ่งเป็นหลุมหลบภัยแห่งเดียวในโลกที่มีความลึกถึง 65 เมตร และสร้างได้อย่างยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบ แถมยังตั้งอยู่ใจกลางกรุงมอสโกอีกด้วย

ก่อนที่จะไปพูดถึงว่าเราจะเข้าไปที่นั่นกันได้ยังไง เรามาทำความรู้จักกับที่มาที่ไปของหลุมหลบภัยหลุมนี้กันซักนิดนึงก่อนว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไร และทำไมชาวรัสเซียเค้าถึงได้ภูมิใจกันนักหนา ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากช่วงของสงครามเย็น ทั้งอเมริกาและโซเวียตต่างฝ่ายต่างหาทางข่มขู่กันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ณ เวลานั้น จำเป็นต้องหาทางออกให้กับคนในเมืองหากมีการถล่มกันด้วยอาวุธนิวเคลียร์ขึ้น ดังนั้นสตาลินจึงได้มีคำสั่งให้ทำหลุมหลบภัยขึ้นแทนหลุมหลบภัยเดิมที่ไม่มีศักยภาพในการป้องกันจากอาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งได้สร้างขึ้นในปี 1965 มีพื้นที่ใช้สอยรวมทั้งสิ้นกว่า 7,000 ตารางเมตร และหลุมหลบภัยแห่งนี้ก็ถูกใช้เรื่อยมาจนกระทั่งถึงปี 1985 รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 30 ปีเต็มๆ ที่หลุมหลบภัยแห่งนี้พร้อมเสมอในการรับมือกับการจู่โจมทางนิวเคลียร์ของคู่ต่อสู้ซึ่งก็คือ อเมริกา

ในช่วงที่ยังเปิดใช้งานอยู่นั้น เจ้าหน้าที่ทั้งหมดของหลุมหลบภัยนี้มีรวมกันทั้งสิ้นกว่า 2,500 คน ทุกวันจะมีเจ้าหน้าที่ที่หมุนเวียนผลักเปลี่ยนกันเข้ามาทำงาน ตั้งแต่วันละ 100 – 600 คน โดยคนเหล่านี้จะเป็นผู้ที่ทำหน้าที่เตรียมความพร้อมและแจ้งเตือนภัยที่จะเกิดขึ้นให้กับประชาชนได้รับรู้ ด้วยการสื่อสารทางโทรศัพท์และโทรเลข ภายในหลุมหลบภัย มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย รวมไปถึงอาหาร เชื้อเพลิง ระบบกรองอากาศ ระบบน้ำและไฟ ที่สามารถสำรองใช้ได้หลายเดือน หลังจากนั้นมาในช่วงปี 80 ความตรึงเครียดในการเผชิญหน้ากันทางอาวุธนิวเคลียร์ก็ได้ลดลง และนี่เองจึงเป็นเหตุให้ความสำคัญของหลุมหลบภัยแห่งนี้ในฐานะที่เป็นสถานที่ที่สำคัญของเมืองลดความสำคัญลงตามไปด้วย

หลุมหลบภัยแห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากสถานีเมโทรตากานสกาย่า (Таганская) ไป 10 นาที อยู่ในซอยกาเตลนิเชสกี้ 5 บ้านเลขที่ 11 แม้ว่าในปัจจุบันจะไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกใดๆ ให้เห็น และมีเพียงกำแพงโล่งๆ แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงมีอะไรที่น่าสนใจและน่าค้นหาแฝงอยู่ หลุมหลบภัยนี้ ตั้งอยู่ลึกลงไปใต้ดินถึง 65 เมตร อยู่เหนือหลุมหลบภัยนั้นเป็นเพียงแค่ตึกที่ดูแล้วแสนจะธรรมดาๆ ตึกนึง หลังคาส่วนใหญ่ของบ้านหรือตึก หลังนี้ ทำด้วยคอนกรีตที่หนาถึง 6 เมตร เพื่อปกคลุมทางเข้าหลุม ภายในหลุมหลบภัยประกอบไปด้วยห้องหลากหลายห้อง รวมไปถึงช่องทางและระบบต่างๆ ภายในอุโมงค์ ภายในช่วงเวลาสงครามหลุมนี้สามารถจุคนได้หลายพันคน

จากประสบการณ์ของนักสำรวจที่เข้าไปในหลุมหลบภัยแห่งนี้ในช่วงแรกๆ ได้กล่าวว่า ความรู้สึกในการเยือนหลุมหลบภัยมีอยู่สองอย่าง คือ อย่างแรกรู้สึกถึงความน่าสนใจที่ และอย่างที่สองคือ น่ากลัวกึ่งขยะแขยง ภายในมีแสงไฟสลัวๆ และผนังที่เป็นสนิมชั้นหนาเตอะ และน้ำที่ไหลออกมาจากทุกทิศทุกทาง มีผู้ที่ชื่นชอบศึกษาความลี้ลับบางคนพยายามเข้าไปในส่วนหวงห้าม นั่นก็คือ การเดินเลาะเข้าไปตามทางน้ำที่อยู่ใต้ดิน ซึ่งจะว่าไปก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจแต่ก็ท้าทายพอสมควร ประการแรกคือถ้าไม่โดนตำรวจจับก็อาจจมน้ำตายเพราะหากไปอยู่ในช่วงเวลาที่น้ำขึ้น เพราะภายในอุโมงค์มีสายน้ำหลายสายที่เกิดขึ้นมาในช่วงเวลาที่แตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงเส้นทางตลอดเวลา ทางเดินข้างในทั้งเล็กและแคบ หากเกิดเหตุฉุกเฉินก็ยากที่จะหนีได้ทัน แถมระว่างทางก็มีน้ำตกสายเล็กสายน้อยที่ไหลลงมาสมทบอีก ประการที่สอง ภายในนั้นสกปรกมาก ถึงแม้จะไม่ใช่ท่อระบายน้ำ แต่ของเสียทุกอย่างจะถูกระบายลงในพื้นที่เหล่านั้น ความสูงของอุโมงค์ส่วนหนึ่งแคบมากจนบางครั้งจะต้องย่อตัวคลานลงไปในน้ำที่เน่าเหม็นเป็นกิโล ดังนั้นไม่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปได้ถ้าร่างกายไม่อำนวย

อย่างไรก็ตาม การสืบเสาะแบบนี้ใช่ว่าจะไร้ประโยชน์ซะทีเดียวเพราะเมื่อประมาณยี่สิบกว่าปีที่แล้ว มีช่างภาพชาวฝรั่งเศสสองคน ( Паскаль Ростен и Бруно Мурон ) เข้าไปในหลุมหลบภัยเหล่านี้ แล้วก็นำเอาขยะที่ยังหลงเหลืออยู่ในนั้นที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวกับความเป็นไปของหลุมหลบภัยนั้นออกมาขายให้กับคนที่นิยมสะสมของเก่า และของหายาก ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ ปัจจุบันหลุมหลบภัยแห่งนี้ยังถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย เป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของคนในชาติ และแสดงให้เห็นถึงความพยายามในการสร้างของคนในยุคนั้น เพราะที่ไม่มีหลุมหลบภัยไหนๆ ในโลกที่สร้างได้ยิ่งใหญ่เท่าหลุมหลบภัยแห่งนี้

ในหนังสือเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่าเมโทร 2033 «метро 2033» ซึ่งเขียนโดยนาย ดมิทรี กลูคอฟสกี้ ได้มีการกล่าวถึงเรื่องความลี้ลับของเมโทรและหลุมหลบภัยเหล่านี้เอาไว้ส่วนหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความลี้ลับที่อยู่ใต้ดินในกรุงมอสโกยังมีอยู่มาก รวมไปถึงเมโทรสาย 2 ที่ว่ากันว่าเป็นช่องทางลับที่ผู้สนใจเรื่องความลี้ลับหลายต่อหลายคนพูดถึง ในปัจจุบันก็ยังเป็นที่สงสัยกันว่า เมโทร2 ที่ว่านี้มันมีจริงหรือไม่ แต่มีความเป็นไปได้ว่าเรื่องเหล่านี้ส่วนหนึ่งคงเป็นความจริง เพราะในยุคของการล่มสลายของสหภาพโซเวียตคือช่วงปี 90 เวลานั้น เกิดความระส่ำระสายภายในประเทศ ระบบการรักษาความปลอดภัยต่างๆ ถูกละเลย และนี่ก็คงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ณ ช่วงเวลานั้นคงมีบรรดานักขุดเจาะที่อยากสำรวจเรื่องเหล่านี้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสกับความลับที่ซ่อนไว้ภายใต้พื้นดิน แต่ถึงแม้ว่าคนเหล่านี้จะเคยเข้าไปสัมผัส แต่ก็ยากที่ใครจะมาป่าวประกาศบอกถึงเรื่องราวของตนเองให้ใครต่อใครได้รับรู้ เพราะมันไม่ส่งผลดีใดๆ ให้กับพวกคนเหล่านี้เป็นแน่

ปัจจุบันหลุมหลบภัยแห่งนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เปิดให้คนเข้าไปชมทั้งแบบเดี่ยวและกลุ่ม ภายในมีการจัดแสดงระบบรักษาความปลอดภัย ตัวอย่างอาวุธ และเครื่องมือสื่อสารในยุคนั้น นอกจากนี้ ภายในมีการฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับสงครามเย็นที่เกิดขึ้นระหว่างสหรัฐและรัสเซียอีกด้วย

สำหรับคนไทยอย่างเราๆ จากประวัติศาสตร์ของชาวรัสเซียและศักยภาพของเขาในการสร้างอาวุธและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือคนชาติไหนก็คงอดทึ่งไม่ได้ถึงความสามารถของชาวรัสเซียในยุคนั้น ในขณะเดียวกันจากประวัติศาสตร์ในยุคสงคราม เราก็คงอดไม่ได้ที่จะสงสารผู้คนที่ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ซึ่งจากสงครามต่างๆ ก็ได้แสดงให้คนเราในปัจจุบันเห็นแล้วว่าบนโลกนี้ไม่มีอะไรที่อันตรายไปกว่ามนุษย์ ที่ถือว่าเป็นทั้งผู้สร้างและผู้ทำลายล้างในเวลาเดียวกัน ความเป็นไปของโลกนี้อยู่ในกำมือของมนุษย์เราทั้งสิ้น และทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือการตัดสินปัญหาความขัดแย้งต่างๆ โดยสันติวิธี

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้