Last updated: 31 ม.ค. 2560 | 3135 จำนวนผู้เข้าชม |
“เมืองปิดในรัสเซีย” สถานที่เก็บความลับสุดยอดของรัฐที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้
เมื่อพูดถึงประเทศมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารัสเซียถือเป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ที่รัสเซียเป็นมหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ได้ทุกวันนี้เกิดจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้นก็คือ ศักยภาพทางด้านทหาร เทคโนโลยีและการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ที่มาของการเป็นมหาอำนาจในปัจจุบันไม่ได้เกิดขึ้นมาอย่างง่ายดายและรวดเร็ว เพราะสิ่งต่างๆที่ชาติได้มาทุกวันนี้เกิดจากความอดทนและเสียสละของคนในชาติ แต่ก็คงจะไม่มีใครที่รับรู้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ดีไปกว่าชาวรัสเซียที่เกิดและมีชีวิตอยู่ในสมัยสหภาพโซเวียต ประชาชนในสมัยนั้นหรือแม้แต่ในปัจจุบันส่วนหนึ่งต้องยอมสูญเสียอิสรภาพ และเสรีภาพ ส่วนบุคคลภายใต้การครอบงำของรัฐ เพียงเพื่อเหตุผลเดียว คือ การรักษาความลับของชาติ
หนึ่งในวิธีการสร้างความยิ่งใหญ่ของรัสเซีย ก็คือ การพัฒนาศักยภาพทางการทหาร โดยเฉพาะอาวุธที่รัสเซียให้ความสำคัญ ด้วยเหตุนี้ จึงได้มีการจัดตั้งเมืองเพื่อใช้เป็นสถานที่ที่พัฒนา ศึกษา วิจัย ทางวิทยาศาสตร์และอาวุธนิวเคลียร์โดยเฉพาะ ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมืองเหล่านี้มีการก่อสร้างมาตั้งแต่ปี 1930s แต่รัฐเพิ่งมาให้ความสำคัญในฐานะเป็นสถานที่เก็บอาวุธยุทโธปกรณ์และขีปนาวุธนิวเคลียร์ก็หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่สองแล้ว ครั้งนั้นสายลับของสตาลินได้ส่งข่าวถึงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป ทำให้โซเวียตสมัยนั้นมองเห็นความจำเป็นในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศตนอย่างจริงจัง การที่สหรัฐฯ ส่งขีปนาวุธทำลายล้างไปยังเมืองฮิโรชิมา และนางาซากิ ยิ่งทำให้โซเวียตยิ่งต้องเร่งพัฒนาศักยภาพอาวุธนิวเคลียร์ของตนให้ทัดเทียมกับคู่แข่ง ดังนั้นในเดือน กุมภาพันธ์ 1943 สตาลินจึงได้มีคำสั่งให้สร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นอย่างเร่งด่วน ซึ่งในขณะนั้นประกอบไปด้วย 10 เมืองด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ เมืองซารอฟ Саров ซึ่งปัจจุบันถือเป็นเมืองปิดที่สำคัญมาก กิจการต่างๆของรัฐ ภายในเมืองนี้ถูกปิดเป็นความลับสุดยอด
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจ ก่อนอื่นคงจะต้องอธิบายความหมายของคำว่า “เมืองปิด” ให้ทราบกันก่อน คำว่าเมืองปิด ที่เรากำลังจะพูดถึงต่อไปนี้ เป็นที่รู้จักกันในนาม ซาโต้ หรือ เขตการบริหารพื้นที่ในรูปแบบปิด ( “ЗаТО “Закрытое административно-территориальное образование”) เป็นเมืองที่ไม่เปิดให้เข้าออกได้อย่างเสรีเช่นเมืองอื่นๆ เนื่องจากเมืองเหล่านี้รัฐบาลใช้เป็นสถานที่ในการศึกษา วิจัย ทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ทางทหาร รวมไปถึงเป็นสถานที่จัดทำและทดสอบขีปนาวุธต่างๆ เมืองเหล่านี้จึงถือเป็นเมืองที่กุมความลับทางราชการเอาไว้มากมาย ดังนั้น จึงต้องมีการควบคุมการเข้าออกภายในอย่างเคร่งครัด เรียกได้ว่า คนธรรมดาๆ อย่างเราๆ ยิ่งเป็นต่างชาติด้วยแล้วแทบจะไม่มีสิทธิที่จะย่างกรายเข้าไปในดินแดนเหล่านั้นได้เลย
ในสมัยสหภาพโซเวียต ภายในเมืองปิดเหล่านี้ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าไปเป็นอันขาด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม แต่ในปัจจุบันบางเมืองอนุญาตให้เข้าไปได้ แต่ต้องได้รับการอนุญาตอย่างเป็นทางการจากทางราชการ ซึ่งก็ไม่ต่างจากชาวรัสเซีย ที่จะต้องได้รับใบอนุญาตอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร แม้แต่ชาวเมืองที่มีชีวิตอยู่ในนั้นเองก็ตาม โดยขั้นตอนต่างๆ ก็มีความซับซ้อนยุ่งยาก และใช้เวลาพิจารณานาน
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเมืองปิดเหล่านี้ในสมัยโซเวียตถูกเก็บเป็นความลับในทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นชื่อ สถานที่ตั้ง แม้แต่ในแผนภาพถ่ายดาวเทียมหรือระบบนาวิเกเตอร์ก็ห้ามไม่ให้มีการระบุพิกัดของที่ตั้งเมืองเหล่านั้นว่าอยู่ที่ใด มีการตัดสัญญาณการค้นหา เช่นตัดสัญญาณ GPS จากประเทศอื่น และการที่ใครก็ตามที่เปิดเผยสถานที่ตั้งหรือข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเมืองเหล่านี้จะได้รับบทลงโทษในฐานะที่เอาความลับทางราชการออกมาเผยแพร่ เมืองปิดในสหภาพโซเวียตในอดีตนั้นมีทั้งหมด 103 เมืองด้วยกัน (แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 44 เมือง ซึ่งก็ยังคงมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่เคร่งครัดอยู่ และไม่อนุญาตให้เข้าออกอย่างเสรี)
ในสมัยโซเวียต แม้แต่ชื่อของเมืองปิดเหล่านี้รัฐบาลยังมีวิธีการตั้งที่แยบยล เช่น การใช้ชื่อเมืองอื่นแล้วบวกด้วยตัวเลขข้างท้าย เช่น Томск-7, Красноярск-26, Челябинск-40, Сальск-7 วิธีการตั้งชื่อเช่นนี้ ทำให้ชาวเมืองปิดสามารถตอบคำถามทั่วๆ ไปของผู้คนที่ถามว่าบ้านอยู่ที่ไหนได้ โดยใช้คำตอบที่รัฐจัดไว้ให้ เช่น ฉันมาจากทอมสค์ เพื่อไม่ให้ผู้คนตั้งคำถามต่อไปว่าเมืองตั้งอยู่ที่ไหน การใช้ชื่อเมืองที่มีอยู่จึงทำให้ชาวเมืองสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ นอกจากนี้ ชาวเมืองจะต้องตอบคำถามในรูปแบบที่รัฐกำหนดให้เท่านั้น และห้ามนำเอาข้อมูลของเมืองออกมาเผยแพร่เป็นอันขาด ส่วนคนที่จะเข้ามาในเมืองได้จะต้องเป็นญาติสนิทเท่านั้น ญาติห่างๆ หรือคนรู้จักก็ไม่มีสิทธิในการเข้ามาในเมืองเหล่านั้นเด็ดขาด และการเข้ามาของคนจากที่อื่นจะได้รับอนุญาตตามระยะเวลาที่รัฐกำหนด ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ต่างกับการขอวีซ่าไปต่างประเทศ
เมื่อปี 2010 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ปูติน ได้เห็นชอบกับกฎหมายว่าด้วยเรื่องการระบุพิกัดและตำแหน่งที่ตั้งของสิ่งต่างๆบนดินแดนรัสเซีย ซึ่งรวมไปถึงเมืองปิดต่างๆ เหล่านั้นด้วย ผลจากกฎหมายนี้ก็ทำให้ประชนชนทั่วไปสามารถรับรู้ข้อมูลเมืองปิดเหล่านี้ได้ แต่ก็มีข้อจำกัดว่า ข้อมูลเหล่านั้นจะต้องไม่จัดอยู่ในข้อมูลที่ถือเป็นความลับของทางราชการ
เมืองปิดก็แบ่งออกเป็นระดับความสำคัญของเมือง ระบบการรักษาความปลอดภัยก็แตกต่างกันไป บางเมืองไม่อนุญาตให้มีที่พักอาศัย บางเมืองก็ให้ชาวเมืองพักอาศัยได้ แต่ชาวพื้นเมืองเหล่านี้จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมทั้งทางด้านสิทธิและเสรีภาพ ซึ่งการบริหารงานต่างๆ ภายในเมืองเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของกระทรวงพลังงานนิวเคลียร์และกระทรวงกลาโหม ดังนั้น ไม่ว่าชาวเมืองจะเดินทางออกหรือเข้ามาในเมืองทุกครั้งจะต้องได้รับใบอนุญาตจากทางราชการเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่ใช่ว่านึกจะเชิญใครเข้ามาในเมืองจะทำได้ง่ายๆ เพราะทุกอย่างอยู่ภายใต้การพิจารณาของทางการว่าจะให้ใครเข้าหรือไม่ให้ใครเข้า การที่ชาวเมืองปิดเหล่านี้ถูกริดรอนสิทธิ และเสรีภาพส่วนหนึ่งเพื่อรักษาความลับของประเทศ รัฐก็ได้ชดเชยสิ่งที่ชาวเมืองเหล่านี้เสียไปด้วยการอำนวยสาธารณูประโภคที่ดีกว่ามาตรฐานทั่วๆ ในเมืองอื่นๆ รวมไปถึงค่าแรงและเงินเดือนที่มากกว่านเมืองอื่นๆ ด้วย ผลจากการที่รัฐจำกัดการเข้าออกของคนท้องถิ่นและการคัดกรองการเข้ามาของคนจากแหล่งอื่น ทำให้ปัญหาการเกิดอาชญากรรมต่างๆ ในเมืองเหล่านี้มีไม่มาก
หลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต จำนวนของเมืองปิดก็ลดลงเรื่อยๆ โดยรายชื่อเมืองเหล่านี้ถูกระบุอยู่ในกฎหมายพิเศษที่ทำขึ้นในปี 1992 ชื่อเมืองเหล่านี้ก็เปลี่ยนจากที่เคยกำกับด้วยตัวเลขเป็นชื่อเมืองที่เป็นชื่อเฉพาะเหมือนเมืองทั่วๆไป เช่น เชลยาบินสค์-70 (Челябинске-70) ปัจจุบัน คือ สเนชินสค (Снежинск) เป็นต้น ปัจจุบันเมืองปิดมีทั้งหมด 44 เมืองด้วยกัน มีผู้อาศัยอยู่รวมทั้งสิ้นประมาณ 1,300,000 คน พูดได้ว่า ในชาวรัสเซีย 100 คน จะมี 1 คนที่มาจากเมืองปิด เมืองปิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีชื่อว่า เซเวียรสค (Северск) มีประชากรอาศัยอยู่รวมทั้งสิ้น 120,000 คน ส่วนเมืองที่มีขนาดเล็กที่สุดคือ เมือง ชึฮานึย (Шиханы) มีประชากรรวมทั้งสิ้นประมาณ 8,000 คน
ผู้คนที่มีชีวิตอยู่ในเมืองปิดเหล่านี้ ก็ใช่ว่าจะรับรู้ความเป็นไปของเมืองในทุกเรื่อง เนื่องจากเมืองปิดส่วนหนึ่งมีการสร้างสถานที่เก็บยุทโธปกรณ์และขีปนาวุธต่างๆ ไว้ใต้ดิน ประหนึ่งเมืองทางทหารเมืองหนึงเลยทีเดียว ใต้ดินมีระบบสาธารณูปโภคไม่ต่างไปจากบนดิน รวมไปถึงอุปกรณ์ที่ให้ความอุ่นในหน้าหนาว โดยผู้ที่เป็นผู้ริเริ่มแนวคิดนี้ก็คือนาย ซาฮารอฟ (А.Д.САХАРОВ) เขาได้เสนอแนวคิดว่า ควรจะจัดตั้งสถานที่เก็บอาวุธเหล่านี้ไว้ใต้ดินเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจจะส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชนและธรรมชาติ ในขณะนั้นแนวคิดนี้ดูเหมือนจะยังห่างไกลและหลายคนมองว่ามันเกินกว่าความเป็นจริงที่จะเป็นไปได้ แต่ต่อมาก็ได้มีการนำเอาแนวคิดนี้มาใช้ เช่น ในเมือง กราสนายารสกา-26( Красноярска-26.) และหลายต่อหลายเมืองที่ปิดเมืองปิดในไซบีเรีย มีการสร้างเมืองใต้ดินโดยเฉพาะเพื่อเก็บอุปกรณ์และขีปนาวุธร้ายแรง รวมถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ที่ได้มาจากแนวคิดของนายซาฮารอฟ นั่นเอง
นอกจากเมืองปิดแล้ว ยังมีเมืองที่ไม่ถือว่าเป็นเมืองปิด แต่ไม่อนุญาตให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้าไปได้ ยกเว้นสัญชาติเบลารุส เช่น เมืองНорильск (นาริลสค) и ดูดินก้า (Дудинка ) ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2001 ซึ่งจะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากทางราชการ จากก่อนหน้านี้ตั้งแต่ปี 1991 ชาวต่างชาติเคยสามารถเข้าออกได้อย่างเสรี
ในปัจจุบันยังคงมีผู้คนส่วนหนึ่งที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์และอยากเข้าไปเสาะหาความลับที่ซ่อนอยู่ในเมืองเหล่านั้น ซึ่งความพยายามเหล่านี้เรียกได้ว่าเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยที่เมืองปิดเพิ่งเริ่มขึ้นในยุคแรกๆ เหตุการณ์หนึ่งที่น่าสนใจในสมัยโซเวียตที่แสดงให้เห็นถึงการพยายามเข้าไปในเมืองปิดก็คือ ในสมัยนั้นมีเมืองหนึ่งที่มีชื่อว่า ซัสโนวึย บอร์ (Сосновый Бор) ตั้งอยู่ในเขตเลนินกราด โอบลัสต์ เมืองนี้เป็นเมืองที่มีร้านค้าเยอะแยะมากมาย และในขณะเดียวกันก็เป็นเมืองปิดที่ภายในมีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ (ปัจจุบันไม่ได้เป็นเมืองปิดแล้ว และเปิดให้เข้าออกได้อย่างเสรี) ในเวลานั้น สถานีรถไฟที่อยู่ใกล้กับเมืองที่สุดมีชื่อเรียกว่า กาลิเช่ (Калище) ซึ่งเป็นสถานีที่ผู้โดยสารสามารถเปลี่ยนสายการเดินรถไปยังเมืองอื่นๆ ที่อยู่ในเขต เลนินกราด โอบลัสต์ ได้ ด้วยเมือง ซัสโนวึย บอร์ (Сосновый Бор) เป็นเมืองปิด พนักงานจะทำการตรวจสอบใบอนุญาตเข้าเมืองและเอกสารจากผู้เดินทางที่ซื้อตั๋วเพื่อลงที่สถานี กาลิเช่ (Калище) อย่างเคร่งครัด แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ตรวจเอกสารของคนที่ซื้อตั๋วที่ไปลงสถานีอื่นๆ เช่น คัทลึย (Котлы) หรือ กาโปริเย( Копорье ) ซึ่งจำเป็นต้องแวะเปลี่ยนสายการเดินรถที่สถานี กาลิเช่ (Калище) เช่นเดียวกัน ด้วยช่องโหว่นี้ ทำให้คนที่ต้องการเดินทางไปยังเมือง ซัสโนวึย บอร์ (Сосновый Бор) เลือกซื้อตั๋วที่แพงขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย เพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ถามและเพื่อแลกกับการไปช้อปปิ้งภายในเมืองนั้น เป็นต้น
สำหรับคนไทยอย่างเราแล้ว การเดินทางเข้าไปในเมืองเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยจากบทความนี้ก็คงจะทำให้ผู้อ่านได้รับรู้ถึงความยิ่งใหญ่ของรัสเซียด้านผู้นำทางขีปนาวุธและศักยภาพทางทหาร และที่สำคัญทำให้เราเข้าใจชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนที่นั่น ที่พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อแลกมาซึ่งความยิ่งใหญ่ของประเทศแม้ว่าจะถูกลิดรอนสิทธิบางส่วนของตนก็ตาม ซึ่งคนเหล่านี้ถือเป็นกลไกสำคัญที่ผลักดันให้ประเทศก้าวไปสู่ความสำเร็จ.....
9 เม.ย 2564
9 เม.ย 2564
22 พ.ค. 2564